หากเอ่ยถึงผึ้ง หลายคนคงหวาดกลัวในความร้ายกาจของมัน เพราะถ้าโดนมันต่อยขึ้นมาคงปวด ๆ คัน ๆ มิใช่น้อย แต่ทั้งนี้ในพิษของผึ้งก็ยังประโยชน์ซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่ง นั่นคือ การช่วยรักษาทางการแพทย์ โดยการใช้พิษต้านพิษ ซึ่งเป็นศาสตร์การรักษาโดยใช้ผึ้งที่มีมายาวนานในประเทศจีน โดยการนำพิษผึ้งมาใช้เพื่อบำบัดโรคต่างๆ ซึ่งการรักษาโรคโดยใช้ผึ้งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นวิธีการรักษาแนวใหม่ที่เรียกว่า “ผึ้งบำบัด”

ผึ้งบำบัด จะใช้หลักการฝังเข็มด้วยเหล็กในผึ้งควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ผึ้งเพื่อบำบัดหรือบรรเทาอาการของโรค ซึ่งจะประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้
1. ฝังเข็มด้วยเหล็กในผึ้ง ผึ้งที่นำมาใช้ต้องเป็นพันธุ์ลูกผสมจากอิตาลีและอ่าวเปอร์เซียร์ เนื่องจากเหล็กในของมันจะยาว 0.3 มิลลิเมตร และมีน้ำพิษอยู่ 0.3 มิลลิกรัม เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษา ซึ่งก่อนการรักษา จะหาตำแหน่งหรือจุดบริเวณที่จะต่อย จากนั้นจับผึ้งด้วยคีมหนีบ แล้วนำผึ้งไปต่อยตำแหน่งที่กำหนดไว้ทีละตัว จากนั้นตัวมันเองก็จะตายและหลั่งน้ำพิษออกมา ปล่อยไว้ 3-5 นาที จึงค่อยถอนเหล็กในออก น้ำพิษที่อยู่ในตัวผู้ป่วยจะช่วยบรรเทาอาการปวดตามร่างกายได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดว่าผู้ป่วยแต่ละรายควรจะถูกผึ้งต่อยกี่ตัว และควรปล่อยให้พิษและเหล็กในอยู่ในร่างกายนานเท่าไหร่ คนไข้บางคนอาจถูกต่อยได้มากกว่า 100 ครั้ง แต่บางคนก็ได้แค่ 4-5 ครั้งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การใช้พิษผึ้งเพื่อบำบัดโรค หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการวิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น และง่วงนอน ดังนั้นหากต้องการใช้พิษผึ้งเพื่อการรักษา หรือบำบัดโรค ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
2. การใช้ผลิตภัณฑ์ผึ้ง ควบคู่กับการบำบัด เพื่อส่งผลให้การรักษาโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่
- น้ำผึ้ง (Honey) เป็นแหล่งพลังงานชั้นดี แก้อาการนอนไม่หลับ บรรเทาอาการเจ็บคอ ลดการอักเสบในแผล
- เกสรผึ้ง (Bee Pollen) เป็นวิตมินและเกลือแร่จากธรรมชาติ บรรเทาอาการโพรงจมูกอักเสบ บรรเทาอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
- นมผึ้ง ( Royal Jelly) ช่วยชะลอความแก่ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันปรับสมดุลในร่างกาย เสริมสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
- พรอพอริส ( Propolis ) เป็นสารต่อต้านเชื้อโรค เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเป็นสารฆ่าเชื้อ
โรคที่เหมาะในการรักษาด้วยผึ้งบำบัด
1. อาการปวด ได้แก่ ปวดเอว ปวดขา ปวดคอ เอวเคล็ด คอเคล็ด ปวดกล้ามเนื้อ ไมเกรน ปวดประจำเดือน ปวดท้อง ปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท
2. อาการไขข้อ ได้แก่ ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าต์ โรคข้อเข่าเสื่อม นิ้วล็อค โรคเอ็นอักเสบ
3. โรค และอาการอื่นๆ เช่น ริดสีดวง (ภายนอก) ตะคริวที่น่อง แผลที่นูนออกมาผิดปกติ แขนและขาชา โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดตีบ อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เป็นต้น และโรคที่เป็นปัญหามากในขณะนี้ก็คือ การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศซึ่งมีผู้ที่ป่วยจำนวนมากต้องการรักษา

กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการรักษาโดยผึ้งบำบัด
โรคหัวใจ/โรคไต การใช้ยาสลายลิ่มเลือด/เพิ่งผ่านการผ่าตัดมาไม่เกิน 2 ปี ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอไม่ถึง 6 ชั่วโมง
** ก่อนทำการบำบัด จะมีการทดสอบก่อนทุกครั้ง**
นอกจากนี้ผึ้งบำบัด ยังมุ่งเน้นการกระตุ้นพลังงานในร่างกายและเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น เมื่อการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ก็ค่อยหายไป ซึ่งเป็นหลักการบำบัดรักษาโรคโดยวิถีทางธรรมชาติอย่างแท้จริง
โดย พจ.ธนัชชา สุวรรณปักษ์
แพทย์แผนจีนและฝังเข็ม
รพ.วิชัยเวชฯ อ้อมน้อย